Tag: EsteeMate

  • Training ROI

    การกำหนดผลตอบแทนจากการฝึกอบรม (Training ROI) ในโลกการทำงานยุคปัจจุบัน การฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน (Employee Development and Training) ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญในด้านทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร มันไม่ใช่แค่การส่งเสริมทักษะและความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนการฝึกอบรม (Training ROI) ซึ่งช่วยให้ HR และผู้บริหารเข้าใจถึงคุณค่าของการลงทุนในทรัพยากรบุคคล ถ้าผลตอบแทนการฝึกอบรมนี้ถูกคำนวณอย่างเหมาะสม มันสามารถสร้างความโปร่งใสในการตัดสินใจเรื่องงบประมาณและกลยุทธ์ในการพัฒนาพนักงานได้ ความหมาย (Definition) ผลตอบแทนการฝึกอบรม (Training ROI) คือ การวัดคุณค่าหรือประโยชน์ที่องค์การได้รับจากการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงาน มันสามารถคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แสดงถึงความสำเร็จของการฝึกอบรมในแง่ของการพัฒนาประสิทธิภาพและผลิตภาพในการทำงาน ความสำคัญ (Importance) ประโยชน์ (Benefits) ขั้นตอน/กระบวนการ (Process/Steps) ตัวอย่าง (Examples) ข้อควรระวัง (Considerations/Precautions) สรุป (Conclusion) ผลตอบแทนการฝึกอบรม (Training ROI) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการวัดผลที่ชัดเจนและการออกแบบโปรแกรมฝึกอบรมที่มีคุณภาพ องค์กรสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในพนักงานและเสริมสร้างความเข้มแข็งในความสามารถในการแข่งขันได้ ติดตามเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี HR ล่าสุด ได้ที่ EsteeMATE Mailing List

  • First-Year Attrition Rate

    อัตราการลาออกปีแรก (First-Year Attrition Rate): สิ่งที่ HR ต้องรู้และเฝ้าระวัง บทนำ อัตราการลาออกปีแรก (First-Year Attrition Rate) เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดที่สำคัญใน HR Metrics ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาพนักงาน (Retention) ขององค์กร การเข้าใจและติดตามอัตราการลาออกของพนักงานในปีแรกสามารถช่วยองค์กรปรับปรุงกลยุทธ์ในการรักษาพนักงานให้ดียิ่งขึ้น 1. ความหมายของอัตราการลาออกปีแรก (Definition) อัตราการลาออกปีแรกคืออัตราส่วนของพนักงานที่ลาออกจากองค์กรภายในระยะเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่วันที่เริ่มงาน ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยนำจำนวนพนักงานที่ลาออกภายในปีแรกมาหารด้วยจำนวนพนักงานที่เริ่มงานทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน 2. ความสำคัญของอัตราการลาออกปีแรก (Importance) – การลาออกในปีแรกถือเป็นสัญญาณว่าอาจมีกระบวนการสรรหา (Recruitment) และการเลือก (Selection) ที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ – อัตราการลาออกที่สูงสามารถส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการสรรหาและฝึกอบรมในการหาพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น – อัตราการลาออกที่ต่ำบ่งบอกถึงการมีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและปรากฏการณ์ที่เป็นบวกต่อการรักษาพนักงานในระยะยาว 3. ประโยชน์ของการติดตามอัตราการลาออกปีแรก (Benefits) – สามารถระบุปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานหรือบรรยากาศการทำงานได้อย่างรวดเร็ว – ช่วยทำให้องค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์การพัฒนาพนักงานและสร้างแผนการรักษาพนักงานให้มีประสิทธิภาพ – ส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของพนักงาน 4. ขั้นตอนการจัดการกับอัตราการลาออกปีแรก (Process/Steps) 4.1 การประเมินกระบวนการสรรหาและการเลือกพนักงาน – สร้างเกณฑ์การพิจารณาที่ครอบคลุมและเฉพาะด้าน…

  • Individual Development Plan

    ในโลกของ HR การจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพมักต้องใช้แผนที่ชัดเจนเพื่อสร้างความสำเร็จทั้งในระดับบุคคลและองค์กร หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญคือ “แผนพัฒนารายบุคคล” หรือ IDP (Individual Development Plan) ซึ่งเป็นเอกสารที่ช่วยกำหนดกรอบการพัฒนาและการเติบโตของพนักงาน โดยมีความสำคัญในการพัฒนาทักษะการทำงานและการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน (performance) ให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร ความหมาย (Definition) แผนพัฒนารายบุคคล (IDP) คือ เอกสารหรือกรอบการทำงานที่ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคลเพื่อพัฒนาและเพิ่มทักษะ ศักยภาพ และความสามารถในการทำงานของพนักงาน โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่ระดับพนักงานทั่วไปไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของทั้งพนักงานและองค์กร ความสำคัญ (Importance) ประโยชน์ (Benefits) ขั้นตอน/กระบวนการ (Process/Steps) ตัวอย่าง (Examples) ตัวอย่างที่ 1: บริษัทเทคโนโลยี ในบริษัทเทคโนโลยีระดับนานาชาติแห่งหนึ่งได้มีการใช้ IDP เพื่อช่วยพัฒนาทักษะของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สามารถเขียนโค้ดในภาษาที่หลากหลายและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่องค์กรต้องการ ตัวอย่างที่ 2: ธุรกิจค้าปลีก พนักงานขายในร้านค้าปลีกสามารถใช้ IDP เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและการบริการลูกค้า เพิ่มขึ้นในระดับความเชี่ยวชาญในการแนะนำผลิตภัณฑ์และเทคนิคการขาย ข้อควรระวัง (Considerations/Precautions) สรุป แผนพัฒนารายบุคคล (IDP) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างกรอบการพัฒนาทักษะและความสามารถสำหรับพนักงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร โดยเฉพาะในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและการจัดเตรียมแผนพัฒนาที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างโอกาสในการเติบโตทั้งในระดับบุคคลและองค์กร…

  • Job Rotation

    การหมุนเวียนงาน (Job Rotation) คือแนวคิดหนึ่งในกระบวนการพัฒนาบุคลากรที่สำคัญ ซึ่งท้าทายให้พนักงานมีโอกาสในการพัฒนาตัวเองแบบกว้างขวาง ผ่านกระบวนการที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาทักษะที่หลากหลาย และปลูกฝังการเรียนรู้เชิงลึกในแต่ละบทบาทงาน. การหมุนเวียนงาน ช่วยส่งเสริมการพัฒนาอาชีพด้านข้าง (Lateral Career Development) และยังเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมหมุนเวียนงาน (Rotation Programs) ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กร. ความหมาย การหมุนเวียนงานคือกระบวนการที่พนักงานถูกย้ายไปยังตำแหน่งหรือบทบาทที่แตกต่างกันในองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาทักษะและความรู้ที่กว้างขวาง การหมุนเวียนนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในระดับแนวนอน เช่น การเปลี่ยนแผนกหรือฟังก์ชันงาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปในสายบังคับบัญชา ความสำคัญ ประโยชน์ ขั้นตอน/กระบวนการ ตัวอย่าง ในบริษัทไทย บริษัทเทคโนโลยีประยุกต์ไทยได้มีการนำการหมุนเวียนงานเข้ามาใช้โดยให้พนักงานสาย IT และฝ่ายการตลาดมีโอกาสแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ. ผลลัพธ์ที่ได้คือพนักงานในฝ่าย IT สามารถทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ฝ่ายการตลาดสามารถทราบถึงความท้าทายทางเทคนิคได้ชัดเจนขึ้น ข้อควรระวัง สรุป การหมุนเวียนงานเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาบุคลากรและเสริมสร้างองค์กรให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่น. การนำแนวคิดนี้มาใช้ต้องอาศัยการวางแผนและการสื่อสารที่ดี แต่เมื่อทำได้สำเร็จจะช่วยเสริมสร้างองค์กรให้มีบุคลากรที่มีคุณค่ามากขึ้น.

  • CycleTime To Resolve Payroll Errors

    สวัสดีค่ะ แนะนำตัว รู้ทัน HR! ความหมายของ CycleTime To Resolve Payroll Errors หมายถึง ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการจ่ายเงินเดือน ตั้งแต่เริ่มต้นการระบุปัญหาจนถึงการแก้ไขและทำให้การจ่ายเงินเดือนถูกต้องสมบูรณ์ รวมถึงการสื่อสารกับพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ระยะเวลา (หรือเวลาเฉลี่ย) ที่ใช้ในการแก้ไขข้อผิดพลาดในการจ่ายเงินเดือนตั้งแต่การตรวจพบข้อผิดพลาดจนกระทั่งการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นเสร็จสมบูรณ์และการจ่ายเงินให้พนักงานถูกต้อง การคำนวณเวลานี้เป็นส่วนสำคัญในการติดตามประสิทธิภาพของกระบวนการจ่ายเงินเดือนในองค์กรและช่วยในการปรับปรุงการทำงานเพื่อให้กระบวนการนี้เป็นไปได้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนในการคำนวณ การคำนวณ การคำนวณเวลาที่ใช้ในการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้สามารถทำได้โดยการนับจำนวนวันหรือชั่วโมงที่ใช้ในการทำแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจพบข้อผิดพลาดจนกระทั่งการแก้ไขเสร็จสิ้นและการจ่ายเงินถูกต้อง ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าในเดือนนี้มีพนักงานคนหนึ่งที่พบว่าค่าจ้างของเขาผิดพลาด โดยที่พนักงานได้รับเงินเดือนต่ำกว่าปกติ เนื่องจากมีการคำนวณโบนัสผิดพลาด ขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้มีดังนี้: การคำนวณ Cycle Time จากตัวอย่างนี้: ในกรณีนี้ คือ 5 วัน ซึ่งหมายความว่าใช้เวลา 5 วันในการตรวจพบข้อผิดพลาด, แก้ไขข้อผิดพลาด, และทำการจ่ายเงินที่ถูกต้อง การปรับปรุงและลด Cycle Time การลดระยะเวลาในการแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้กระบวนการจ่ายเงินเดือนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ตัวอย่างของการปรับปรุงที่สามารถทำได้ เช่น: การลดไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาและความไม่พอใจของพนักงาน แต่ยังช่วยให้กระบวนการทางการเงินขององค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ในงาน HR ตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสามารถของ HR ในการจัดการข้อผิดพลาดในการจ่ายเงินเดือน โดยการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลนี้จะช่วยให้…

  • Rate of Internal Referral Hires

    ความหมายของ Rate of Internal Referral Hires Rate of Internal Referral Hires หมายถึง อัตราส่วนของพนักงานที่ได้รับการจ้างงานผ่านการแนะนำจากพนักงานภายในองค์กร ซึ่งวัดจากจำนวนพนักงานใหม่ที่ได้รับการจ้างงานจากการแนะนำของพนักงานที่มีอยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนพนักงานใหม่ทั้งหมดที่เข้ามาทำงานในช่วงเวลาที่กำหนด (อัตราการจ้างงานจากการแนะนำภายในองค์กร) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินสัดส่วนของพนักงานใหม่ที่ถูกจ้างโดยการแนะนำจากพนักงานภายในองค์กร (เช่น การแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน หรือสมาชิกในทีม) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้คือการดูว่าองค์กรมีความสามารถในการใช้เครือข่ายภายในในการสรรหาพนักงานใหม่มากน้อยเพียงใด ซึ่งการใช้การแนะนำจากภายในองค์กรมักจะทำให้การสรรหาพนักงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและลดต้นทุนในการสรรหาพนักงานจากภายนอก การใช้ในงาน HR ตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับ HR ในการประเมินประสิทธิภาพของการสรรหาและการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันในองค์กร โดยการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับกลยุทธ์การจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ การคำนวณ การคำนวณ Rate of Internal Referral Hires สามารถทำได้โดยใช้สูตรดังนี้ (จำนวนพนักงานที่ได้รับการจ้างงานจากการแนะนำภายในจำนวนพนักงานใหม่ทั้งหมดที่จ้าง)×100\text{Rate of Internal Referral Hires} = \left( \frac{\text{จำนวนพนักงานที่ได้รับการจ้างงานจากการแนะนำภายใน}}{\text{จำนวนพนักงานใหม่ทั้งหมดที่จ้าง}} \right) \times 100Rate of Internal Referral Hires=(จำนวนพนักงานใหม่ทั้งหมดที่จ้างจำนวนพนักงานที่ได้รับการจ้างงานจากการแนะนำภายใน​)×100 ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าในปี 2023 องค์กรได้จ้างพนักงานใหม่จำนวน…

  • Internal Promotion Rate

    ความหมายของ Internal Promotion Rate Internal Promotion Rate หมายถึง อัตราการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กร ซึ่งเป็นการวัดสัดส่วนของพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากภายในองค์กรเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมดที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในช่วงระยะเวลาที่กำหนด Iอัตราการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กร คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินสัดส่วนของพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากภายในองค์กรเอง โดยไม่ต้องไปสรรหาหรือจ้างพนักงานจากภายนอก ตัวชี้วัดนี้สามารถใช้เพื่อวัดความสำเร็จขององค์กรในการพัฒนาบุคลากรภายใน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความสามารถในการพัฒนาความสามารถของพนักงานให้เติบโตในตำแหน่งที่สูงขึ้น การใช้ในงาน HR การคำนวณ Internal Promotion Rate การคำนวณ สามารถทำได้โดยการใช้สูตรดังนี้:Internal Promotion Rate=(จำนวนพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กรจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลื่อนตำแหน่ง)×100\text{Internal Promotion Rate} = \left( \frac{\text{จำนวนพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กร}}{\text{จำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลื่อนตำแหน่ง}} \right) \times 100Internal Promotion Rate=(จำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลื่อนตำแหน่งจำนวนพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กร​)×100 ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าในปี 2023 องค์กรมีพนักงานทั้งหมด 200 คน และมีพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายใน 20 คน ภายใต้การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งที่ครอบคลุมพนักงาน 100 คนในแผนกต่าง ๆ ดังนี้: เราสามารถคำนวณ ได้ดังนี้:Internal Promotion Rate=(20100)×100=20%\text{Internal Promotion Rate} = \left( \frac{20}{100} \right)…

  • Cycle Time To Process Payroll

    ความหมายของ Cycle Time To Process Payroll หมายถึง ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการจ่ายเงินเดือน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการจ่ายเงินให้กับพนักงาน ซึ่งรวมถึงการรวบรวมข้อมูลเวลาทำงาน การคำนวณค่าตอบแทน การหักภาษีและสวัสดิการ จนถึงการโอนเงินไปยังบัญชีของพนักงาน ระยะเวลาในการประมวลผลเงินเดือน หมายถึงระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการทั้งหมดจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งพนักงานได้รับการจ่ายเงินเดือน ซึ่งรวมถึงขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การรวบรวมข้อมูลการทำงาน การคำนวณค่าจ้าง การหักภาษีและประกันสังคม การตรวจสอบความถูกต้อง และการจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน ความสำคัญของการติดตาม การลดหรือทำให้กระบวนการจ่ายเงินเดือนเร็วขึ้นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทีมทรัพยากรบุคคล (HR) และลดภาระงานที่อาจเกิดจากความล่าช้าในการจ่ายเงินเดือน การประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน เนื่องจากพวกเขาจะได้รับเงินเดือนตามเวลาที่กำหนด และจะลดความผิดพลาดในการคำนวณค่าจ้างที่อาจเกิดขึ้นจากการประมวลผลที่ช้าเกินไป การใช้ในงาน HR การคำนวณ การคำนวณสามารถทำได้โดยการวัดระยะเวลาระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการประมวลผลเงินเดือน ตัวอย่างเช่น:Cycle Time to Process Payroll=วันที่จ่ายเงินเดือน−วันที่เริ่มต้นการรวบรวมข้อมูล\text{Cycle Time to Process Payroll} = \text{วันที่จ่ายเงินเดือน} – \text{วันที่เริ่มต้นการรวบรวมข้อมูล}Cycle Time to Process Payroll=วันที่จ่ายเงินเดือน−วันที่เริ่มต้นการรวบรวมข้อมูล ตัวอย่างขั้นตอนที่อาจรวมอยู่ในกระบวนการนี้ได้แก่: ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าในองค์กรมีขั้นตอนดังนี้: ในกรณีนี้ Cycle Time to Process Payroll จะถูกคำนวณดังนี้: ดังนั้น:Cycle Time to Process Payroll=15 ธันวาคม−1 ธันวาคม=14 วัน\text{Cycle Time…

  • Percentage of Workforce Below Performance Standards

    Percentage of Workforce Below Performance Standards คือ อัตราส่วนของพนักงานในองค์กรที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งมักใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยคำนวณจากจำนวนพนักงานที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหรือ KPI ที่ตั้งไว้ เปอร์เซ็นต์นี้ช่วยให้บริษัทเข้าใจภาพรวมของประสิทธิภาพและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทีมงานหรือองค์กร Percentage of Underperforming Employees) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินสัดส่วนของพนักงานในองค์กรที่ไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานหรือเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ ตัวชี้วัดนี้มีความสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของทีมงานและช่วยให้ผู้บริหารสามารถรับรู้และจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านการปฏิบัติงานของพนักงานได้ การใช้ในงาน HR Percentage of Workforce Below Performance Standards เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ซึ่งช่วยให้ HR สามารถวิเคราะห์ปัญหา วางแผนการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการทำงานในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูลนี้อย่างถูกต้องจะช่วยให้พนักงานมีโอกาสในการพัฒนาและสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคต การคำนวณ Percentage of Workforce Below Performance Standards สูตรการคำนวณตัวชี้วัดนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา:Percentage of Workforce Below Performance Standards=(จำนวนพนักงานที่ไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานจำนวนพนักงานทั้งหมด)×100\text{Percentage of Workforce Below Performance Standards} = \left( \frac{\text{จำนวนพนักงานที่ไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐาน}}{\text{จำนวนพนักงานทั้งหมด}} \right) \times 100Percentage of Workforce Below Performance Standards=(จำนวนพนักงานทั้งหมดจำนวนพนักงานที่ไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐาน​)×100 อธิบายส่วนประกอบในสูตร:…