กุญแจสำคัญในการเชื่อมกลยุทธ์องค์กรสู่การปฏิบัติจริง
องค์กรส่วนใหญ่มี “กลยุทธ์” และ “เป้าหมายหลัก” ชัดเจน แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นคือ กลยุทธ์นั้นไม่ถูกนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบ พนักงานแต่ละคนอาจไม่รู้ว่าหน้าที่ของตนมีส่วนช่วยให้องค์กรไปถึงเป้าหมายอย่างไร
นี่คือเหตุผลที่แนวคิด Cascading Objectives เกิดขึ้น — เพื่อ “ไล่ระดับเป้าหมาย” จากองค์กรลงสู่แผนก ทีม และบุคคล ให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน
Cascading Objectives คืออะไร
Cascading Objectives คือกระบวนการ “ถ่ายทอดเป้าหมาย” จากระดับบนขององค์กร (Corporate) ลงไปยังแต่ละระดับชั้นขององค์กร เช่น แผนก ทีม และพนักงานแต่ละคน
เป้าหมายของระดับล่างจะถูกออกแบบให้ “สอดคล้อง” (Align) กับระดับบนเสมอ เพื่อให้ทุกการกระทำมีส่วนสนับสนุนต่อความสำเร็จขององค์กรโดยรวม
กล่าวง่ายๆ คือ “กลยุทธ์ระดับองค์กร” ถูกแปลงเป็น “เป้าหมายระดับปฏิบัติการ” ที่วัดผลได้จริง
ความแตกต่างระหว่าง Cascading Objectives กับ KPI Alignment
| ด้าน | Cascading Objectives | KPI Alignment |
|---|---|---|
| จุดเริ่มต้น | เริ่มจาก “เป้าหมาย” ที่ต้องการถ่ายทอด | เริ่มจาก “ตัวชี้วัด” ที่ต้องเชื่อมโยงกัน |
| ลักษณะ | เน้นการไล่ระดับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ | เน้นความสัมพันธ์ของตัวชี้วัดผลลัพธ์ |
| เครื่องมือที่ใช้ | OKR (Objective & Key Results) | KPI Dashboard |
| จุดประสงค์ | ให้ทุกระดับมีเป้าหมายสอดคล้องกับองค์กร | ให้ทุก KPI สนับสนุนกันในทุกระดับ |
ทั้งสองแนวคิดทำงานร่วมกันได้ดี โดย Cascading Objectives เป็น “กระบวนการวางเป้าหมาย” ส่วน KPI Alignment เป็น “กระบวนการวัดผล”
ขั้นตอนของการทำ Cascading Objectives
- กำหนด Corporate Objective (เป้าหมายองค์กร)
เช่น “เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยเป็น 20% ภายในปี 2025” - แตกเป็น Department Objectives (เป้าหมายระดับแผนก)
- ฝ่ายขาย: เพิ่มยอดขายรวม 25%
- ฝ่ายการตลาด: เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 30%
- ฝ่าย HR: พัฒนาโปรแกรมพนักงานสัมพันธ์เพื่อเพิ่ม Employee Engagement ≥ 80%
- กำหนด Team หรือ Individual Objectives (ระดับบุคคล)
เช่น- ทีมขาย: ปิดดีลลูกค้ารายใหญ่ 10 ราย
- ทีมการตลาด: สร้างแคมเปญดิจิทัลที่ได้ 500 Qualified Leads
- HR Officer: จัดกิจกรรมองค์กร 6 ครั้งต่อปี
- กำหนด Key Results หรือ KPI ที่สนับสนุนแต่ละ Objective
แต่ละ Objective ควรมี Key Result ที่วัดผลได้ เช่น “ยอดขายรายเดือน ≥ 5 ล้านบาท” หรือ “ระดับความพึงพอใจพนักงาน ≥ 85%” - สื่อสารและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
ใช้ Dashboard หรือระบบอย่าง EsteeMATE Hierarchical KPI เพื่อดูการเชื่อมโยงและความคืบหน้าของเป้าหมายทุกระดับแบบเรียลไทม์
ตัวอย่างกรณีศึกษา: บริษัทสมมติ “ThaiWell Clinic Group”
Corporate Objective: เพิ่มรายได้รวมจากทุกสาขา 30% ภายในสิ้นปี
Cascading Objectives
- ฝ่ายการตลาด: เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 40%
- ฝ่ายบริการลูกค้า: เพิ่มคะแนนความพึงพอใจจาก 80 → 90%
- ฝ่ายบุคคล: พัฒนาทักษะพนักงานขายทุกสาขาผ่านโปรแกรม Training ใหม่
Individual Objectives (ตัวอย่างพนักงาน)
- เจ้าหน้าที่การตลาด: ออกแบบคอนเทนต์ 20 แคมเปญในปี
- พนักงานบริการลูกค้า: ได้คะแนนรีวิวเฉลี่ย ≥ 4.8 จากลูกค้า
- Trainer: จัดอบรมพนักงานครบ 100% ของสาขา
ระบบจะทำให้ทุกเป้าหมาย “ไหลลง” และ “วัดกลับขึ้นได้” อย่างชัดเจน
ประโยชน์ของการทำ Cascading Objectives
- ทุกคนเข้าใจทิศทางเดียวกัน – ลดการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร
- สร้าง Accountability – พนักงานรู้ว่าผลงานตนเองมีผลต่อองค์กรอย่างไร
- ช่วยให้ผู้บริหารติดตามภาพรวมได้ง่าย – ผ่าน Dashboard หรือรายงานผลรวม
- ปรับเปลี่ยนได้ยืดหยุ่นตามกลยุทธ์ใหม่ – เมื่อองค์กรเปลี่ยนทิศทาง สามารถ Re-cascade ได้รวดเร็ว
เครื่องมือที่ช่วยสนับสนุน Cascading Objectives
- OKR Platform – เช่น myOKR.io หรือ EsteeMATE KPI Dashboard
- Balanced Scorecard – ใช้กำหนดมุมมองทั้ง 4 ด้าน (การเงิน ลูกค้า กระบวนการ ภายใน และการพัฒนา)
- Performance Dashboard – ใช้แสดงผลและติดตามการเชื่อมโยงเป้าหมายในแบบ Tree Diagram หรือ Hierarchy Chart

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
- ตั้งเป้าหมายแต่ไม่ระบุ Key Results ที่วัดผลได้
- ถ่ายทอดเป้าหมายแบบ “คำสั่ง” ไม่ใช่ “การมีส่วนร่วม”
- ขาดการติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้ระบบแยกส่วน ทำให้ข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน
สรุป
Cascading Objectives คือเครื่องมือสำคัญในการแปลง “กลยุทธ์” ให้กลายเป็น “การลงมือทำ” ที่วัดผลได้จริง
องค์กรที่ทำได้ดีจะเห็นว่า ทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ล้วนมีเป้าหมายที่สัมพันธ์กัน และทุกคนรู้ว่าผลงานของตนเองมีส่วนขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า
